comosa by mohjai herbal textbook comosa เป็นสมุนไพร สำหรับสตรี ที่มีปัญหาภายในตั้งแต่เล็ก จนใหญ่ ปวดประจำเดือน กระบังลมหย่อน ช่องคลอดไม่กระชับ มีกลิ่น ตกขาว ขุ่นข้นเหม็นคาว ก้าวไปเป็นมะเร็งในที่สุด ผิงพรรณไม่ผ่องใส มีสิวมีฝ้า หน้าตกกระ ภูมิแพ้ เป็นประดง เลือดลมไม่ดี มีความดัน ไขมันในเลือด สุขภาพไม่สมบูรณ์ ไม่เคยอยู่ไฟ สมัยคลอดบุตร ราคากล่องละ 950 บาท มี 30 แคปซูล ถ้าซื้อห้ากล่องขึ้นไป ราคา 600 บาทเท่านั้น ส่งให้ฟรี ทั่วโลก ติดต่อได้ที่ 028107832 www.patsiri.com
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
healthcaresiri: ยาจินดามณี
ยาจินดามณี
http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/222018_122289147851928_100002125297100_195448_6273274_n.jpg
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
healthcaresiri: herbal history
ระวัติ สมุนไพรแผนโบราณ
ประวัติการแพทย์แผนโบราณ นั้นเริ่มมีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งในสมัยนั้นมีชายผู้หนึ่ง ชื่อ ชีวกโกมารภัจจ์ มีความสนใจศึกษาวิชาการแพทย์ เพราะเห็นว่าเป็นวิชาชีพ ที่ไ่ม่เบียดเบียฬผู้ใดท่านเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ปราถนาที่จะให้มนุษย์มีความสุข จึงได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ ในสำนัก ทิศาปาโมกข์ แห่งเมืองตักศิลา ท่านเป็นผู้ที่ฉลาดมีความสามารถ ในการเรียนรู้เรียนได้มากเรียนได้เร็วความทรงจำดี ใช้เวลาเรียนน้อยกว่าผู้อื่น เมื่อจบวิชาการแพทย์แล้ว สามารถรักษาคนไข้ครั้งเดียวหายได้ในเวลาต่อมาพระเจ้าพิม0พิศาล ทรงประชวรด้วยโรคริดสีดวง ทวาร ก็ทรงโปรดให้หมอชีวกเข้าไปถวายการรักษาด้วยการทายาเพียงครั้งเดียวก็หาย จึงโปรดให้เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์ และบำรุงพระสงฆ์ นับว่าหมอชีวกโกมารภจน์ เป็นแพทย์ผู้มีความรู้ ความสามารถสมัยพุทธกาลมีผู้เคารพยกย่องมากมาย
ประวัติการแพทย์แผนโบราณในประเทศไทย
การแพทย์แผนโบราณก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินธิ์
ประวัติการแพทย์แผนโบราณในประเทศไทยนั้น ได้มีการค้นพบศิลาจารึกของอาณาจักรขอมประมาณปี พศ 1725-1729ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลโดยการสร้างสถานพนาบาล เรียกว่าอโรคยาศาลาโดยมีหน้าที่ทำการรักษาพยาบาล ได้แก่หมอ พยาบาล เภสัชกรรวม 92 คนมีพิธีกรรมบวงสรวงพระไภสชยคุรุไวฑูรย์ ด้วยยาและอาหาร ก่อนแจกจ่ายไปยังผู้ป่วย ต่อมามีการค้นพบหินบดยาสมัยทราวาราวดี และศิลาจารึกของพ่อขุนราคำแหงมหาราช ในสมัยสุโขทัยได้บันทึกไว้ว่า ทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนเขาหลวงหรือเขาสรรพยา เพื่อให้ราษฏรได้เก็บสมุนไพรไปใช้รักษาโรคยามเจ็บป่วย
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้ค้นพบบันทึกว่า มีระบบการจัดทายาที่ชัดเจนสำหรับราษฏร มีแหล่งจำหน่ายยาหลายแห่ง ทั้งในและนอกกำแพงเมืองมีการรวบรวมตำรับยาต่างๆ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์แผนโฌบราณ เรียกว่า ตำราพระโอสถพระนารายณ์ การแพทย์แผนโบราณมีความรุ่งเรืองมากโดยเฉพาะการนวด ในสมัยนั้นการแพทย์แผนตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาท โดยมีมิชชันนารี่ชาวฝรั่งเศษเข้ามาจัดตั้งโรงพยาบาลรักษาโรค แต่ขาดความนิยมจึงได้ล้มเลิกไป
การแพทย์แผนโบราณในสมัยกรุงรัตนโกสินธิ์
รัชการที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคาคลารามทรงให้รวบรวมและจารึกตำรายา ฤาษีดัดตน ตำราการนวดไว้ตามศาลาราย ส่วนการจัดหายาของทางราชการมีการจัดตั้งกรมหมอและโรงพระโอสถคล้ายกับในสมัยอยุทธยา แพทย์ที่รับราชการเรียกว่าหมอหลวงส่วนหมอที่รักษาราชการทั่วไปเรียกว่า หมอราษฏร หรือหมอเชลยศักดิ์
รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพรพะเจ้าอยู่หัวพระพุทธเลิษหล้านภาลัยทรงเห็นว่าคัมภีร์แพทย์ณโรงพระโอสถสมัยอยุธยานั้นสูญหายไป เนื่องจากตอนนั้นมีสงครามกับพม่า 2 ครั้งบ้านเมืองถูกทำลายและราษฏรรวมทั้งหมอแผนโบราณถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยทำให้ตำรายาและข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์ของไทยถูกทำลายไปด้วยจึงมีพระบรมราชโองการให้เหล่าผู้ชำนาญโรคและสรรพคุณยา รวมทั้งผู้ที่มีตำรายานำเข้ามาถวายและให้กรมหมอหลวงคัดเลือก ให้จดเป็นตำราหลวงสำหรับโรงพระโอสถ และในปี พศ 2359มีพระบรมราชโองการโรดเกล้า กฏหมายพนักงานพระโอสถถวาย
รัชการที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่วเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนธ์วิมลมังคลารามอีกครั้งทรงโรดเกล้า ให้มีการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์แผนโบราณแห่งแรก คือโรงเรียนแพทย์แผนวัดโพธิ์ ในงานฉลองวัดโพธิ์สมัยนั้น ทรงดำริว่า อันตำรายาไทยและการรักษาโรคแบบอื่นๆเช่นการบีบนวด ประคบ หมอที่มีชื่อเสียงต่างก็หวงตำราของแต่ละตนไว้เป็นความลับตลอดจนทรงดำริว่า การรักษาโรคทางตวันตกกำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาในประเทศสยามและเวลาอันใกล้้น่าจะบดบังรัศมีของการแพทย์โบราณเสียหมดสิ้น สุดท้ายอาจไม่มีตำรายาไทยเหลืออยู่เพื่อประโยชน์ของอนุชนรุ่นหลังก็ได้ จึงทรงประกาศให้ผู้มีตำรับยาแผนโบราณทั้งหลายที่มีสรรพคุณดีและเชื่อถือได้เท่าาที่มีอยู่สมัยนั้น นำมาจารึกเป็นหลักฐานไว้บนหินอ่อน ประดับไว้บนผนังพระอุโบสถ ศาลาราย เสา และกำแพงวิหารคดของพระเจดีย์สี่องค์และตามศาลาต่างๆ ของวัดโพธิ์ ที่ปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้น การจารึกนี้เป็นตารายาบอกสมุฏฐานของโรคและวิธีการรักษา และยังได้มีการจัดหาสมุนไพรที่ใช้ปรุงยาสมุนไพร และหายากมาปลูกไว้ในวัดโพธิ์เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นได้ทรงให้ปั้นรูปฤาษีดัดตนในท่าต่างฟ เพื่อช่วยให้ผู้ประสงค์ฝึกำตนเป็นแพทย์ หรือหาทางบำบัดตนได้ศึกษาเป็นสาธารณะทาน นับว่าเป็นการจัดการศึกษาให้กับประชาชนรูปแบบหนึ่ง ตำรายาเหล่านี้พอจะทราบกันดีในบรรดาหมอไทยว่า ตำรายาดีจริงๆนั้น คงไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างแท้จริงแต่ก็เป็นอนุสรณ์และเป็นโรงเรียนแพทย์ของเมืองไทย รัชสมัยนี้มีการนำเอาการแพทย์แผนตวัตตกเข้ามาเผยแพร่โดยคณะมิชชันนารี่ชาวอเมริกัน โดยการนำของนายแพทย์แดนบีชบรัดเลย์ ซึ่งคนไทยเรียกว่า หมอบรัดเลย์ เช่นการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ การใช้ยาเม็ด ควินินรักษาโรคไข้จับสั่น เป็นต้น
รัชการที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้้นำการแพทย์แผนตะวันตกมาใช้มากขึ้ันเช่นการสูติกรรมสมัยใหม่ แต่ไม่สารถให้ประชาชนเปลี่ยนความนิยมได้เพราะการรักษาพยาบาลแผนโบราณของไทย เป็นจารีตประเพณี และวัฒนธรรมสืบเนื่องกันมานานและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของไทย
รัชกาลที่ 5พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาราชมีการจัดตั้งศิราชพยาบาลใน พศ 2431 มีการเรียนการสอนและให้การรักษาทั้งการแพทยฺแผนโบราณและแผนตวันตกควบคู่กันไปทั้งสองอย่างร่วมกันหลักสูตร 3 ปีการจัดการเรียนการสอนและบริการรักษาการแพทย์ทังสองทั้งแผนโบราณและแผนตะวันตกร่วมกันเป็นไปด้วยความยากลำบากเข้ากันไม่ได้เพราะระบบมันไม่สอดคล้องกัน มีการขัดแย้งระหว่างผู้สอนและผู้เรียนเป็นอย่างมากด้วยหลักการและแนวคิด และวิธีการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ทำให้ยากที่จะผสมผสานกันได้ มีการพิมพ์ตำราแพทย?สำหรับใช้ในโรงเรียนแพทย์เป็นครั้งแรกในปี พศ 2438 โดยพญาพิษณุ ชื่อตำรา แพทย์ศาสตร์สังเขป 3 เล่ม ซึ่งยังคงใช้เป็นตำรายามาจนถึงปัจจุบัน
รัชการที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสั่งยกเลิกวิชาการแพทย์แผนโบราณและต่อมาในปี พศ 2466 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัคิการแพทย์ เป็นการควบคุมการประกอบโรคศิลป์ะ เพื่อป้องกันอันตราที่อาจเกิดกับประชาชนอันเนื่องมาจากการประกอบโรคศิลป์ขอองผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ฝึกหัดด ด้วยความไม่พร้อมในด้านการเรียนการสอน และการประชาสัมพันธ์ทำให้หมอพื้นบ้านจำนวนมากกลัวถูกจับ จึงเลิกประกอบอาชีพนี้ บ้างก็เผาตำราทิ้ง บิดาของข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาแพทย์โบราณ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจาก พ่ออคล้านสมัยรัชการที่3 ต้องหมดอาชีพ ยาสมุนไพรเต็มบ้านตัองทำลายทิ้งไป ข้าเจ้าเกิดมาทันประมาณ พศ 2484-2494 ได้ช่วยพ่อ ชั่งยาตามที่คนมาเจียดยา และตามที่พ่อหมอ จ๋าย หลงศิริ ได้ปรุงกัน ด้วยการบด การต้ม มีคาถากำกับ โดยการชั่งยา ใช้เหรียญบาทเป็นมาตราวัด เช่นยาหนักสองบาท ก็ชั่งโดยใช้เหรียญบาท สองอันเป็นต้น ต่อมาบิดาของข้าเจ้าก็ได้ถึงแก่กรรมโดยโรคชราเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ พศ 2498 ตำราก้ได้ตกทอดมายังพี่ชายคนโต ชื่อ สายบัว หลงศิริ และได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว พศ พศ 2553 เหลือตำราได้ตกทอดมา ถึงข้าเพเจ้า เอามาทำยาสมุนไพร ร่วมกับโหลนของ หมอจ๋าย หลงศิริ ชื่อ จิรายุกุล หลงศิริ ซึ่งมีความรู้เรื่องสมุนไพรได้ปราชญ์เปร่ืองเป็นที่เรื่องลือ ทำให้สรรพคุณ ยาตำรับหมอจ๋าย ได้ผลดีเป็นที่มหัศจรรย์ เพราะนอกจจกาจะได้ตำรับยาดีแล้ว เรายังเคารพเชิดชู ผู้มีพระคุณ ต้องกราบไหว้ ขอบารมีจากบรมครู เทพเทวา ให้การกินยาของคนไข้ได้ผล สืบทอดความกตัญญูรู้คุณ ที่ให้ตัวยาสืบทอดมาถึงพวกเรา เอารายได้มาใช้จ่ายแล้วแบ่งไปส่วนหนึ่งเพื่อทำบุญ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ทุกคนผู้เป็นบรมครู ถ่ายทอดความรู้สู่ตำรามาถึงเรา
รัชการที่ 7พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ตรากฏหมายเสนาบดี แบ่งการประกอบโรคศีลป์ออกเป็น แผนปัจจุบัน และ แผนโบราณโดยกำหนดไว้ว่า
1 ประเภทแผนปัจจุบัน คือผู้ประกอบโรคศีลป์โดยความรู้จากตำราอันเป็นหลักวิชาการโดยสากลนิยม ซึ่งดำเนินและจำเริญขึ้น โดยอาศัยการศึกษา ตรวจค้น และทดลองของผู้รู้ในทางวิทยาศาสตร์
2 ประเภทแผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศีลป์โดยอาศัยความสังเกตุ ความชำนาญ อันได้สืบต่อกันมาเป็นที่ตั้ง หรืออาศัยตำราอันที่มาแต่โบราณ มิได้ดำเนินไปในทางวิทยาศาสตร์
รัชการที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในรัชสมัยนี้มีการจัดตั้งสมาคมของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ ได้ก่อตั้งขึ้นที่วัดโพธิ์ กรุงเทพ ปี พศ 2500นับแต่นั้นมา สมาคมต่างๆ ก็ได้แตกสาขาออกไป ปัจจุบันก็มีโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพ และตางจังหวัดในปี พศ 2525 ได้ก่อตั้งโรงเรียนอยุรเวทวิทยาลัยหรือ ชีวกโกมารภัจจ์ ได้ทำการอบรมศึกษาด้านการแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์มาจนกระทั่งทุกวันนี้
herbal history
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ผลกรรมจากการฆ่าหมา -กินหมา มาจากนครพนม
คนสกลนครหรือคนในจังหวัดใกล้เคียงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเนื้อสวรรค์เพราะมันจัดเป็นอาหารพิเศษสุดของคนที่นี้กันเลยทีเดียวและเนื้อที่ใช้ทำก็ไม่ใช่อะไรอื่น เนื้อสุนัขดี ๆ นี้เอง
การกินเนื้อสุนัขนั้น ริเริ่มโดยชาวญวนอพยพมาจากฝั่งลาวรวมถึงคนจีนด้วย โดยเขาจะกินเฉพาะฤดูหนาวเพียงครั้งเดียว ด้วยเชื่อว่าเนื้อสุนัขสามารถให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ และสุนัขที่นำมากินต้องสีดำล้วน ๆที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่ใช้สุนัขตาดำ ๆ ทั่วไปที่คนแถบอีสาน หรือที่ จ .สกลนครกินกัน
ผมเป็นคนจังหวัดนครพนม ที่นี้ก็มีการกินเนื้อสุนัขบ้างแต่ไม่เอิกเกริกถึงกับเปิดเป็นร้านอาหารใหญ่โตเหมือนกับจังหวัดสกลนครและไม่รู้ว่าการเปิบเนื้อสวรรค์นี้จะขยับขยายเข้าไปถึงจังหวัดที่ผมอยู่หรือเปล่าถ้าเป็นแต่แต่ก่อนก็ไม่คิดอะไรดอก เพราะเห็นว่ามันเป็นอาชีพสุจริตที่ใคร ๆ ก็ทำได้แต่เดี๋ยวนี้ผมได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้คืบคลานเข้ามาเลยเพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาชดใช้กรรมอย่างที่ผมเห็นมากับตาตัวเองเลย
เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เดิมทีผมทำอาชีพทำนาและรับจ้างทั่วไปฐานะก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกเมียก็อยู่อย่างเรียบง่าย เสร็จจากหน้านาก็ทอผ้าเป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว ครอบครัวเราก็เป็นปกติดีกระทั่ง 3 ปีที่แล้วผมได้รับจดหมายจากพี่ชาย ชวนให้ไปทำธุรกิจที่กำลังจะขยายโครงการออกไปใจจริงส่วนตัวเองก็ไม่เดือดร้อน แต่ก็อยากได้เงินสักก้อนเก็บไว้ส่งให้ลูกเรียน สูงๆ เผื่อจะได้ฝากผีฝากไข้ในอนาคต ส่วนพี่ชายเดิมก็มีอาชีพอย่างผมนี้แหละแต่หลังจากแต่งเมียแล้วก็ย้ายไปสกลนครเผอิญเจอพรรคพวกที่มีธุรกิจทำร้านอาหารเนื้อสวรรค์เลยชวนไปประกอบธุรกิจโดยพี่ชายเป็นคนจัดหาเนื้อสุนัขมาส่งให้ที่ร้าน
ตั้งแต่ผมตกลงใจมาพี่ชายและผมก็ช่วยกันหาเนื้อสุนัขไปส่งที่ร้านที่พรรคพวกเขาทำอยู่และก็ขยายไปที่ร้านอื่นๆ ในละแวกนั้นด้วยอีกหลายร้าน รายได้ก็งามทีเดียว พี่ชายผมเองทำธุรกิจนี้มาถึง 5 ปีแล้วก่อนที่ผมจะมา เริ่มจากการตระเวนจับสุนัขจรจัดมาชำแหละ นานเข้าก็เริ่มหายากก็ต้องตระเวนขอซื้อตามหมู่บ้านหรือไม่ก็แอบจับตามวัดวาที่มีสุนัขจรจัดอาศัยอยู่เยอะ ๆผมเองถูกมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ขับรถตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ บางทีแค่ 3 วันบางทีก็เป็นอาทิตย์ ถึงจะได้สุนัขเต็มท้ายกระบะแล้วนำมาขุนไว้ในคอกเพื่อรอเวลาชำแหละไม่ก็ส่งขายเป็น ๆ เลย
ที่บ้านพี่ชาย พื้นที่รอบ ๆที่ว่างยังเป็นโรงฆ่าสัตว์ขนาดย่อม ๆ สำหรับทำหน้าที่ชำแหละแยกชิ้นส่วนไปขายผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเพชรฆาตแต่ละวันตลอด 7 - 8 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ใช้ใครอื่นพี่ชายและสหายรู้ใจอีก 3 คน วันใดหากผมอยู่บ้านไม่ได้ตระเวนไปหาสุนัขหลังเที่ยงคืนทุกวัน จะได้ยินเสียงสุนัขที่ถูกเชือดร้องโหยหวนเป็นที่เวทนาแทบทุกคืน แรก ๆ ผมถึงกับนอนไม่หลับเพราะทำใจไม่ได้แต่หลังจากนั้นผมก็หาทางแก้โดยดื่มเหล้าให้เมาจะได้หลับไปเลย ไม่ต้องคิดอะไรมากในความรู้สึกลึก ๆ บอกตรง ๆ เลยว่า ไม่ค่อยชอบอาชีพนี้สักเท่าไรแม้ว่ารายได้จะดีมาก แต่ลองใจไม่ชอบยังไงมันก็ชอบไม่ได้ก็กะว่าเก็บเงินได้สักก้อนแล้วจะเลิกกลับไปอยู่กับไร่นาที่บ้านดีกว่าอยู่กับลูกเมีย ได้ยันเสียงหัวเราะ ผิดกับที่นี้มีแต่เสียงโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายแกทนทำอยู่ได้อย่างไรตั้ง 8 ปี ผมก็เลยลองถามไปว่าไม่นึกสงสารหรือคิดว่ามันเป็นบาปบ้างหรือที่ต้องฆ่าสุนัขวันละหลายสิบตัวเขากลับหัวเราะแล้วเอ็ดตะโรผมว่า คิดอะไรวะไม่เข้าท่าไม่เห็นเหรอว่าไอ้สุนัขพวกนี้มันทำเงินให้วัน ๆ เท่าไหร่ จะมานั่งคิดบาปบุญกันทำไมแล้วไอ้การฆ่าสุนัข ถามหน่อยเถอะ มันจะต่างอะไรกับการฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าปลาวะมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นมีใครกลัวบาปสักกะคนเดียว เห็นมีแต่รวยเอา ๆนั่นแหละไม่ว่า
คิด ๆ ไป คำพูดของพี่ชายผมก็มีส่วนถูกจริงอยู่เหมือนกันเพราะพวกที่เป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่ก็รวย ๆ กันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครจนสักคนหรือว่าผมคิดมากไปเอง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ไอ้เสียงโหยหวนของมันเสียงร้องยามถูกเชือด มันบาดตาบาดใจผมเหลือเกินตอนที่ไปเอามันออกมาจากอ้อมอกของเจ้าของ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราจะเอาไปทำอะไรสุนัขแต่ละตัวเหมือนจะรู้ชะตา ดิ้นหนีทุรนทุราย ทุกรายบางตัวขึ้นมาอยู่บนรถแล้วยังวิ่งพล่านกระโดดชนโครงเหล็กข้างรถ หัวหูแตกเลือดอาบก็มี พอถึงตอนจะลงจากรถสายตามันจ้องมองดูผมยังกะว่าจะอาฆาตจองเวรผมไว้อีก อย่าให้ถึงทีพวกมันบ้างก็แล้วกันยิ่งได้เห็นพวกเพื่อนมันถูกจับมัดขาดิ้นรนหนีมีดอันคมกริบที่กำลังจะบาดลึกลงไปในบริเวณคอ กระทั่งเลือดสด ๆกระฉูดออกจากตัวจนแทบจะหมดนั่นแหละถึงจะหยุดดิ้น แล้วกระตุก สัก 2- 3 ทีก่อนจะตายอย่างน่าเวทนา แทบทุกตัวเวลาตายตานี้จะเหลือกโพลงจ้องมายังคนเชือดแทบถลนเล่นเอาลูกผู้ชายอย่างผมถึงกับเขาอ่อนเลยทีเดียว
เป็นไง ? ไอ้น้องอยากจะลองเชือดดูบ้างไหมวะ ? ลองสักตัวซีแล้วจะติดใจ ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า...
พี่ชายสัพยอก ที่เห็นอาการเบ้หน้าของผม “
ไม่ดีกว่า ไปล่ะจะไปหาเหล้ากรอกปากสักอึกแก้คลื่นไส้
โธ่...ทำเป็นใจเสาะเป็นปลาซิวไปได้ ฮ่า ๆๆ ”
ผมได้ยินพี่ชายหัวเราะตามหลัง พร้อม ๆ กับเสียงโหยหวนของสุนัขอีกหลายตัวที่ถูกเชือดรายต่อไป ภาพที่เห็น เสียงร้องที่ได้ยิน แม้จะบาดตาบาดใจบาดหูแค่ไหนก็ยากจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ก็ได้แต่ภาวนาในใจแอบแผ่เมตตาไปให้กับพวกมันบ้างบางเวลาส่วนตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบาปบุญมันจะมีจริงไหมผลบุญจะส่งมันไปสู่สุคติได้จริงหรือเปล่าหรือแม้ตัวผมเองจะต้องชดใช้กรรมที่ทำลงไปอย่างไรบ้าง
หลังจากที่คลางแคลงใจอยู่นานผมก็ได้รู้และมั่นใจแล้วครับว่ากรรมมีจริงซึ่งกว่าจะรู้ก็ทำงานอยู่กับเขาถึง 3 ปี กะว่าหน้าฝนจะกลับบ้านแล้ว ไม่เอาแล้วเพราะอยู่ที่นี่ นานเข้ายิ่งขาดความสุข พี่ผมเองเขาคงไม่รู้ตัวนับวันเริ่มมีพฤติกรรมเหมือนคนบ้าขึ้นเรื่อย ๆ ที่บ้าเห็น ๆ ก็บ้าเงินและบ้าฆ่าเอาแต่นั่งนับเงินแล้วก็วางแผนจ้องจะฆ่าต่อไปนัยน์ตาลุกพองเหมือนสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำเหยื่อจนลูกเมียแม้แต่ผมเองก็เข้าหน้าไม่ติดจะด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกเมียของเขาเลยแยกแตกไปคนละทิศละทางเมียติดพนัน แล้วก็ไปมีชู้ ลูกสาว 2 คน 17 กับ 15ปี หนีเรียนจนถูกไล่ออกพี่ชายผมนะเหรอจะไปรู้อะไร วัน ๆ จะมีอะไรนอกจากฆ่าแล้วก็เงิน
กิจวัตรของพี่ชาย ก็เริ่มประมาณ เที่ยงคืนโดยจะลุกมาตรวจตราดูว่าจะฆ่าตัวไหน จากนั้นประมาณตี 2 เสียงโหยหวนก็เริ่มบรรเลงขึ้นพร้อม ๆกับเสียงเห่ากันระงมของเพื่อนสุนัขด้วยกันที่เห็นเพื่อนตนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาตะเบ็งเสียงไม่เป็นอันหลับอันนอน จนปาเข้าตี 4 - 5 เสียงจึงจะเงียบเพราะเป็นเวลาชำแหละ และนำเนื้อออกสู่ตลาด ประมาณ 8 - 9 โมงแล้วเขาก็หลับตื่นอีกทีก็เย็น ๆ จากนั้นก็ดื่มเหล้านั่งวางแผนฆ่ากับเพื่อนรู้ใจอีก 3 คนไปจนกว่าจะได้เวลาเชือด ชีวิตเขาก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รับรู้และสนใจว่าใครจะเป็นอย่างไรแม้กับผมเองระยะหลังก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันแล้วจะพูดจะคุยก็แค่ตอนเอาสุนัขมาส่งให้ หรือว่าเขาลืมไปแล้วว่าผมเป็นน้องหรือจะพูดให้ถูก คือเขาลืมหมดแล้วความรู้สึกอื่น ๆ ที่มนุษย์พึงมี เช่น รัก เศร้าเหงา ห่วงหาอาทร ที่สำคัญคือความเมตตาปราณี เหลืออยู่ก็แต่ความกระหายที่มีต่อเลือดการฆ่า และเงินเท่านั้น
และแล้ววันที่เพชฌฆาตอย่างพี่ชายผมต้องรับกรรมก็มาถึงคือขณะที่แกกำลังเดินเลือกหาสุนัขเหมือนทุกวันจากนั้นก็ไปจับออกมาทีหลังตัวเอามาขังไว้ต่างหากระหว่างจับนั้นเองแกถูกสุนัขตัวหนึ่งกระโจนเข้าขย้ำ แถมโดนตัวอื่นรุมสกรัมกว่าจะห้ามและจับแยกได้ เล่นเอาถูกกัดซะจนเหวอะไปทั้งตัวด้วยความที่โกรธผสมแค้นที่ถูกรุม พี่ชายผมเลยจับสุนัขในกรงนั้นเชือดฆ่าเกลี้ยงเอาเลือดสด ๆ ที่ได้มาดื่มอย่างเอร็ดอร่อย แถมควักหัวใจสด ๆมากินแกล้มเหล้าเป็นที่สะอิดสะเอียน ด้วยความที่เป็นห่วงผมเลยเข้าไปพูดเตือนพี่ว่ามันไม่น่าดู เดี๋ยวลูกค้ามาเห็นเข้า เขาจะรังเกียจได้นะ แล้วยังมีแผลอีกควรไปหาหมอฉีดยากันบาดทะยัก หรือพิษสุนัขบ้า กันไว้ดีกว่านะ
พี่ชายผมกลับไม่ใยดีในคำเตือน เขาบอกว่าแผลเล็กน้อยแค่นี้ไกลหัวใจคนอย่างเขาดวงแข็ง หมากัดแค่นี้ไม่ตาย แถมยังได้ยาบำรุงกำลังชั้นเลิศอย่างเลือดสดและหัวใจสด ๆ แค่นี้ก็หายห่วง
ความหวั่นใจของผมเป็นจริงเมื่อเจ็ดวันให้หลัง พี่ชายเริ่มมีอาการตาขวางน้ำลายฟูมปาก แล้วก็ร้องโหยหวน และน่าประหลาดใจมากเสียงที่ร้องไม่ผิดกันเลยกับเสียงสุนัขที่พี่เขาเชือดต่อมาอาการเริ่มคลุ้มคลั่งรุนแรงขึ้นทุกทีทั้งกัดทั้งข่วนจากนั้นก็เริ่มทำร้ายคนที่เข้าใกล้โดยมีอาการเหมือนสุนัขบ้าที่จะเข้าไปกัดคนยังไงยังงั้น พี่ผมจึงถูกจับขังกรงไว้
จากนั้นพี่ก็เริ่มคลุ้มคลั่งมากขึ้นแกจะวิ่งเอาหัวชนกรงที่ขังจนหัวหูแตกยับเยิน เลือดไหลอาบเกรอะกรังมือไม้เหมือนกันตะกุยตะกายพื้นไปทั่ว พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่เห่าหอน ข้าวปลาไม่กินโดยเฉพาะน้ำ จะไม่กล้าเข้าใกล้เลย แกเริ่มหมดแรงเพราะร่างกายไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงพอวันที่สี่ก็เริ่มนอนซมร้องครวญคราง แต่ก็ยังมีแรงวิ่งเข้าไปขย้ำคนที่เข้าไปใกล้ตามร่างกายมีแต่แผลทั้งที่เลือดยังซิบ ๆ และตกสะเก็ดยิ่งดูยิ่งเหมือนสุนัขขี้เรื้อนที่นอนรอความตาย
กระทั่งวันที่เจ็ดเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ลมหายใจของพี่ชายผมเริ่มจะแผ่วเบาก่อนจะกระตุกเฮือก 2 - 3 ครั้ง ผมเฝ้ามองดูจนแน่ใจว่าไม่รอด หมดลมหายใจแน่แล้วจึงได้เปิดประตูกรงแล้วเข้าไปหา ไปดีเถอะนะพี่ สิ้นเวรสิ้นกรรมเสียทีผมเอามือลูบหน้าให้ตาที่เหลือกโพลงของเขาปิดลงก่อนจะเรียกลูกเมียเข้าไปดูและจัดการเรื่องงานศพซึ่งก็เป็นไปอย่างเร่งรัดที่สุดเพราะสภาพศพแม้จะเพิ่งตายก็เหมือนตายมาหลายวันส่งกลิ่นเหม็นเน่า อีกอย่างลูกเมียเขาก็อยากให้มันจบ จบ ไปสักทีต่างคนต่างจะได้ไปใช้ชีวิตอิสระเสียทีตามทางของแต่ละคนเมียก็หอบข้าวหอบของไปอยู่กับชู้รัก ลูกก็ขอเงินแม่มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯลูกมือพี่ชายอีก 2 -3 คน หลังจากเห็นเหตุการณ์ถึงกับเตลิดหนีไม่หวนกลับมาทำงานอีกเลย
ผมเองก็กลับบ้านกลับไปอยู่กับลูกกับเมียเงินเปื้อนเลือดที่ได้มาก็เอาไปบริจาคทำบุญ เผื่อจะล้างบาปให้ตัวเองได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวชดใช้กรรมของผมเองบ้าง ..................................
จากคุณ :กรรมลิขิต ( ผู้นำมาเล่า )